หนังสือมักกะลีผล
ตอนที่ 88 ได้พามหาโชดกกับพระเจริญไปถึงวัดปากน้ำ
และมีการบรรยายถึงการปฏิบัติของหลวงพ่อวัดปากน้ำ หลังจากที่ไปเรียนสติปัฏฐาน 4
ของมหาโชดกมาแล้ว ดังนี้
หลังจากไปเรียนวิปัสสนากรรมฐานที่คณะ 5 วัดมหาธาตุแล้ว
หลวงพ่อสดใช้เวลาในการโปรดญาติโยมให้น้อยลง โดยลงรับแขกชั่วโมงเดียว คือ
บ่ายโมงถึงบ่ายสองโมง
ต่อจากนั้น จะทรงน้ำ แล้วปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน
4 ตามที่ได้ร่ำเรียนมาจากสำนักวัดมหาธาตุ
|
หนังสือมักกะลีผลตอนนี้
เป็นความโง่ที่ให้อภัยตัวเองไม่ได้ของสุทัสสา อ่อนค้อมเอง
ที่ต้องการให้พระเจริญเป็นพระเอกมากเกินไป
ถึงกับไปบิดเบือนเรื่องที่เกี่ยวกับหลวงพ่อวัดปากน้ำ
ทั้งๆ ที่มีความรู้เกี่ยวกับหลวงพ่อไม่ได้มากมายนัก
สุทัสสา
อ่อนค้อมโจมตีเสมอว่า วิชาธรรมกายไม่ได้เป็นวิปัสสนากรรมฐาน แต่สุทัสสา อ่อนค้อมไม่เคยอธิบายได้เลยว่า
“วิชาธรรมกายไม่เป็นวิปัสสนากรรมฐานอย่างไร”
สุทัสสา
อ่อนค้อมโจมตีไปลอยๆ เหมือนคนไม่มีความรู้ ถ้าเปรียบเทียบกับผมเอง
ที่ผมยืนยันมาเสมอว่า การปฏิบัติธรรมแบบยุบหนอพองหนอไม่เป็นวิปัสสนากรรมฐาน
ผมอธิบายเหตุผลไว้อย่างเรียบร้อย
ถึงแม้สติปัฏฐาน
4 เอง ผมก็บอกเสมอว่า ไม่ได้เป็นวิปัสสนากรรมฐาน เพราะ
พระพุทธโฆษาจารย์ท่านไม่ได้จัดไว้
พระพุทธโฆษาจารย์ท่านหัวข้อธรรมะว่าเป็นวิปัสสนากรรมฐาน
6 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
ขันธ์ 5
อายตนะ 12
ธาตุ 18
อินทรีย์ 22
อริยสัจ 4
ปฏิจจสมุปบาท 12
|
หลักฐานอีกประการหนึ่งที่ผมยกขึ้นมายืนยันเสมอๆ
ก็คือ วิปัสสนา แปลว่า “เห็นแจ้ง”
การปฏิบัติธรรมแบบยุบหนอพองหนอ
เน้นเดินจงกรมไป พิจารณาอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อยไป เพื่อให้มีสติรู้ตัวตลอดเวลา
พร้อมๆ กับพิจารณาพระไตรลักษณ์ไปด้วย มันจะเป็นการเห็นแจ้งไปได้อย่างไร
พระมหาสีสะยาดอว์เอง
เมื่อคำวิธีปฏิบัติแบบนี้ขึ้นมาได้ ไม่รู้ว่าจะจัดเข้าไปตรงไหน
ก็จับยัดเข้าไปในสติปัฏฐาน 4
แล้วก็ทะลึ่งบอกว่า
สติปัฏฐาน 4 ก็เป็นวิปัสสนากรรมฐานด้วย มันมั่วกันไปหมด เพราะ สติปัฏฐาน 4 ไม่ใช่วิปัสสนากรรมฐาน
สติปัฏฐาน
4 ประกอบด้วย กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
และธรรมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
คำหัวใจสำคัญและคำแปลก็คือ
คำชุดนี้
กายานุปัสสนา
[กาย + อนุปัสสนา]
|
การเห็นกายในกาย
|
เวทนานุปัสสนา
[เวทนา + อนุปัสสนา]
|
การเห็นเวทนาในเวทนา
|
จิตตานุปัสสนา
[จิต + อนุปัสสนา]
|
การเห็นจิตในจิต
|
ธรรมมานุปัสสนา
[ธรรม + อนุปัสสนา]
|
การเห็นธรรมในธรรม
|
ผมก็ยังไม่เห็นตำราเล่มใดของสายยุบหนอพองหนออธิบายให้เห็นชัดๆ
เสียทีว่า การเห็นกายในกาย
การเห็นเวทนาในเวทนา การเห็นจิตในจิต การเห็นธรรมในธรรม
ของสายยุบหนอพองหนอเป็นอย่างไร
เห็นแต่อธิบายมั่วไปมั่วมา
เฉพาะ “กายในกาย” แบบหาสาระอันใดไม่ได้
แบบโคตรมั่วเสียด้วย คือ มักจะอธิบายว่า การเดินไปเดินมาก็คือเป็นการพิจารณากายในกายแล้ว
แต่สติปัฏฐานสูตรนั้น
มีข้อความด้านล่างนี้อยู่ด้วย และอยู่ครบทุกหัวข้อ คือ
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย
ภายในบ้าง
พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง
พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
|
ผมเองไม่เคยพบเคยเห็นเอกสารตำราของสายยุบหนอพองหนอที่จะสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ว่า
พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
นั้นเป็นอย่างไร
สำหรับหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น
มีคำสอนของวิปัสสนากรรมฐานไว้อย่างแน่นหนา แบบอ่านแล้วปฏิเสธไม่ได้เลย
ในหนังสือมรรคผลพิสดาร
หลวงพ่อวัดปากน้ำสอนไว้ ดังนี้
ขันธ์
๕
อายตนะภายใน
๖
อายตนะภายนอก
๖
ธาตุ
๑๘
อินทรีย์
๒๒
อริยสัจจ์
๔
วิธีพิจารณาปฏิจจสมุปบาทธรรม
จะเห็นว่า
วิชาธรรมกายมีคำสอนหัวข้อธรรมะที่เป็นวิปัสสนากรรมฐานไว้ครบทุกข้อ
แล้วอย่างนี้
หลวงพ่อวัดปากน้ำจะไปฝึก “สติปัฏฐาน 4 แบบมหาโชดก”
ได้อย่างไร ในเมื่อตำราก็ไม่มี อธิบายก็ไม่ได้
ไอ้การเดินจงกรมไป
เดินจงกรมมา พิจารณาอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อยไป เพื่อให้มีสติรู้ตัวตลอดเวลา
พร้อมๆ กับพิจารณาพระไตรลักษณ์ไปด้วยนั้น
มันไม่ใช่วิปัสสนา
กลับมาถึงข้อความที่ยกไปเบื้องต้น
ที่สายยุบหนอพองหนออธิบายไม่ได้เลย คือ
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย
ภายในบ้าง
พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง
พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
|
วิชาธรรมกายสามารถอธิบายได้อย่างครบถ้วน
ทำได้จริงด้วย ขอยกตัวอย่างง่ายๆ
แค่กายละเอียดที่เป็นกายโลกียะ จำนวน 4 กายคือ
1) กายมนุษย์
2) กายทิพย์
3) กายรูปพรหม
4) กายอรูปพรหม
|
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง คือ
การทำวิชาที่เราเห็นตั้งแต่กายมนุษย์เข้าไปจนถึงกายอรูปพรหมของเราเอง
พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง คือ
การทำวิชาของเราที่ทำให้เห็น กายทิพย์ กายรูปพรหม หรือกายอรูปพรหมของคนอื่น
ตรงนี้
บางคนอาจะสงสัยว่า วิชาธรรมกายทำไปทำไม
คำตอบก็คือ
นอกจากจะเป็นการฝึกสติปัฏฐาน 4 แล้ว เรายังตรวจสอบได้ว่า บุคคลดังกล่าวนั้น
เป็นคนดี หรือคนเลว เพราะ กายละเอียดของเขาจะบอก
อีกประการหนึ่งก็คือ
การที่ใช้วิชาธรรมกายรักษาโรคของคนอื่น เราก็ต้องเข้าไปทำที่กายละเอียดของเขา
พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง ก็คือ
กายกายละเอียดต่างๆ มีละเอียดเป็นเถา ชุด ชั้น ตอน ภาค พืด ฯลฯ นับไม่ถ้วน
สมมุติว่า
เราอยู่ที่กายรูปพรหม และดูกายทิพย์ของเราเอง ก็เป็นการดูกายในกาย ณ ภายนอกในตัวของเรา
แต่ถ้าเป็นการดูกายอรูปพรหม ก็เป็นการดูกายในกาย ณ ภายในของเรา ของคนอื่นก็ลักษณะเดียวกัน
จากที่เขียนมาถึงตอนนี้
ขอยืนยันว่า “สติปัฏฐาน 4 แบบมหาโชดก” ไม่มีจริง
เป็นความโง่งี่เง่าของพระโชดกเองที่ไปเชื่อพระพม่า ทั้งๆ
ที่พระพม่าสอนผิด..........
ก็สมควรแล้วที่มหาโชดกตกอบายภูมิอยู่ ก็สาสมกับความโง่ของท่านแล้ว
เกิดมาเสียชาติเกิดไปหนึ่งชาติ พร้อมกับขาดทุนด้วย.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น