บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

พระเจริญเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิหลวงพ่อสด

หนังสือมักกะลีผล เล่ม 2 มีตั้งแต่บทที่ 47-96  เรื่องราวที่เกี่ยวกับหลวงพ่อวัดปากน้ำ เริ่มมีตั้งแต่บทที่ 75

เรื่องดำเนินมาถึงที่ว่า พระเจริญไปพบหลวงพ่ดสดแล้ว หนังสือมักกะลีผลได้บรรยายไว้ดังนี้

หลวงพ่อสด ครั้นทราบว่า พระเจริญเป็นหลานชายหลวงธาราก็ปิติยินดี  ดังนั้น นอกจากจะอนุญาตให้อยู่ในวัดแล้ว ยังไว้วางใจเรียกให้มารับใช้ใกล้ชิดเป็นลูกศิษย์กันกุฏิ

พระหนุ่มจึงได้เรียนวิชาธรรมกาย ซึ่งหลวงพ่อสดเป็นผู้สอนให้ด้วยตนเอง

“หลวงพ่อเรียนวิชาธรรมกายมาจากอาจารย์องค์ไหนครับ” พระเจริญถามหลวงพ่อสดในคืนวันหนึ่ง ขณะทำหน้าที่นวดให้ท่าน

อาศัยที่เคยนวดให้โยมยายมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก ครั้นบวชก็ได้ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อเดิม ท่านจึงมีประสบการณ์ในการนวดเป็นอย่างดี

“จากหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ” ภิกษุวัยหกสิบหกตอบ

“หมายความว่า ท่านสมภารองค์ก่อน ชื่อเดียวกันกับหลวงพ่อหรือครับ” พระหนุ่มสงสัย

“เปล่า หลวงพ่ดสดมีคนเดียวคือเรา”

“ผมไม่เข้าใจครับ” ผู้มาจากต่างถิ่นสงสัยหนักขึ้น

“เธอจะเข้าใจยังไงล่ะ ก็เรากำลีงจะบอกกับเธอว่า เราเป็นผู้ค้นพบวิชาธรรมกายด้วยตนเอง”

“หรือครับ แล้วก่อนหน้านี้ มีใครเคยค้นพบมาก่อนหรือเปล่าครับ” ท่านต้องการทดสอบว่า สิ่งที่หลวงพ่อช่อรู้มานั้น จริงหรือเท็จ

“แหม เธอนี่ซอกแซกจริง แต่เอาเถอะ เราจะตอบให้เธอหายสงสัย ฟังให้ดีนะ เราเป็นคนแรกและเป็นคนเดียวที่ค้นพบวิชานี้

ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อน เป็นยังไง ชัดเจนหรือยัง”

“ชัดเจนแล้วครับ แต่ผมก็ยังอยากรู้ต่อไปอีกว่า หลวงพ่อค้นพบวิชานี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่ และได้สอนลูกศิษย์สำเร็จวิชานี้ไปกี่คนแล้ว”

ภิกษุวัยยี่ห้าถาม เพราะอยากรู้ สมภารวัดปากน้ำนิ่งไปพักหนึ่ง เพื่อทบทวนความจำ แล้วจึงตอบว่า

“นับถึงเดี๋ยวนี้ ก็ยี่สิบปีพอดี และเราก็สอนวิชานี้แก่ลูกศิษย์ลูกหามาได้ยี่สิบปีแล้ว ส่วนใครจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จเราไม่ทราบ เพราะไม่เคยติตตามผล

อีกประการหนึ่ง เรื่องอย่างนี้ เขาจะไม่มาพูดกัน เพราะ มันเป็นเรื่องเฉพาะตัว เรียกว่ามันเป็นปัจจัตจัง ที่นี้เข้าใจแจ่มแจ้งหรือยัง”

(มักกะลีผล เล่ม 2 หน้า 957-958)

เนื้อหาข้างต้นเพียง 2 หน้ากระดาษนั้น แสดงให้เห็นถึงข้อผิดพลาดอย่างมหาศาลของสุทัสสา อ่อนค้อมหลายประการทีเดียว

1) พระเจริญไม่ได้เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของหลวงพ่อวัดปากน้ำ แต่ในเรื่องนี้ พระเจริญเป็นพระเอก การเขียนนิยายก็ต้องมีการดัดแปลงกันบ้าง 

ดังนั้น การที่พระเจริญได้เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของหลวงพ่อสด จึงยอมรับได้ ในฐานะที่เรื่องนี้มันเป็นนวนิยาย

2) หลวงพ่อวัดปากน้ำไม่ได้มีนิสัยพูดต่อล้อต่อเถียงอย่างในหนังสือมักกะลีผล 

เรื่องนี้สำนวนการแต่งนิยายของสุทัสสา อ่อนค้อมเอง  คือ เรื่องของนวนิยายจะดำเนินไปด้วยการพูดคุยของตัวละคร

และตัวละครหลักๆ เกือบทุกตัว จะมีนิสัยชอบพูดต่อล้อต่อเถียง  ไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อเดิม หลวงพ่อศุข และหลวงพ่อวัดปากน้ำ

ถ้าจะถามว่า วิธีการแต่งหนังสือของสุทัสสา อ่อนค้อมได้มาตรฐานหรือไม่  ผมในฐานะที่เรียนมาทางเอกภาษาไทย  ได้เรียนวิชาการวิจารณ์วรรณคดี  อ่านหนังสือพวกนี้มามากมายมหาศาล ผมเห็นว่า กลวิธีการแต่งไม่ได้มาตรฐาน

เพราะใช้คำพูดของตัวละครเป็นการดำเนินเรื่อง และตัวละครทุกตัว ทำเหมือนกันหมด คือ พูดต่อล้อต่อเถียง เล่นลิ้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้

3) ข้อความที่ผิดไปจากข้อเท็จจริงมากก็คือ ข้อความนี้

“แหม เธอนี่ซอกแซกจริง แต่เอาเถอะ เราจะตอบให้เธอหายสงสัย ฟังให้ดีนะ

เราเป็นคนแรกและเป็นคนเดียวที่ค้นพบวิชานี้ ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อน เป็นยังไง ชัดเจนหรือยัง”

ประเด็นนี้ ไม่เป็นจริง 

หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านสอนและเน้นมาตลอดว่า วิชาธรรมกายเป็นวิชาของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตก็จะต้องสอนวิชาธรรมกาย

หลวงพ่อวัดปากน้ำค้นพบด้วยตัวของท่านเองจริง แต่ไม่ใช่คนแรกและคนสุดท้าย  เพราะ จะต้องมีพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปมาค้นพบอยู่ดี

หลักฐานยืนยันสนับสนุนเอามาจากการโจมตีของคนที่ไม่เห็นด้วยก็ยังได้  คนจะโจมตีว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำพยายามแก้ไขพระไตรปิฎก 

คำว่า ธรรมกายไม่มีในพระไตรปิฎก  รู้ได้อย่างไรว่าว่า วิชาธรรมกายหายสาบสูญไป ทำนองนั้น

4) ข้อความที่ผิดไปจากข้อเท็จจริงอีกก็คือข้อความนี้

“นับถึงเดี๋ยวนี้ ก็ยี่สิบปีพอดี และเราก็สอนวิชานี้แก่ลูกศิษย์ลูกหามาได้ยี่สิบปีแล้ว

ส่วนใครจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จเราไม่ทราบ เพราะไม่เคยติตตามผล

ข้อความนี้ ไม่ตรงกับวิชาธรรมกาย  เพราะ วิชาธรรมกาย ผู้สอนจะต้องรู้ว่า ตอนนี้ผู้เรียนปฏิบัติไปถึงขึ้นไหนแล้ว  ไม่อย่างนั้นจะสอนต่อไม่ได้

พูดให้เข้าใจง่ายอีกหน่อยก็คือ วิชาธรรมกายผู้สอนจะต้องตรวจสอบผู้เรียนตลอดเวลา ว่าทำไมไประดับไหนแล้ว  ถ้าทำไม่ถึงระดับแล้วเรียนต่อขั้นสูงขึ้นไม่ได้

จากประสบการณ์ของผม วิทยากรที่เก่งมากๆ จะเห็นเลยว่า ลูกศิษย์ของตนปฏิบัติได้ถึงขั้นไหนแล้ว เพราะ สามารถตรวจสอบได้หลายวิธี 

เช่น ดูดวงธรรมของลูกศิษย์  ถามกายมนุษย์ละเอียดหรือกายฝันของลูกศิษย์  ถามจักรพรรดิของลูกศิษย์  หรือถามพระพุทธเจ้าเลยก็ยังได้

สำหรับวิทยากรส่วนใหญ่ จะให้วิธีถามลูกศิษย์เลย เพราะ ง่ายดี สะดวก และสามารถสอนต่อได้เลย

5) ข้อความที่น่าจะใคร่ครวญก็คือ ข้อความนี้

อีกประการหนึ่ง เรื่องอย่างนี้ เขาจะไม่มาพูดกัน เพราะ มันเป็นเรื่องเฉพาะตัว เรียกว่ามันเป็นปัจจัตจัง ที่นี้เข้าใจแจ่มแจ้งหรือยัง”

คำที่ควรใคร่ครวญก็คือ คำว่า “ปัจจัตตัง” 

สุทัสสา อ่อนค้อมเชื่อไปแบบชาวบ้านร้านถิ่นแบบไม่ควรจบปริญญาเอกเลย  คือ เรื่องที่เป็นปัจจัตตังนั้น คนอื่นรู้ไม่ได้ หรือบอกคนอื่นไม่ได้

ความเชื่อแบบนั้น เป็นความเชื่อที่โง่มาก

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง พระพุทธเจ้าจะนำเอาความรู้ในศาสนาพุทธมาสอนคนอื่นได้อย่างไร เพราะสิ่งพระองค์ค้นพบนั้น ยากเย็นแสนเข็ญ รู้ได้เฉพาะตัวของพระองค์ด้วย

การที่มีศาสนาพุทธมาถึงพวกเราในปัจจุบันนี้ ก็แสดงว่า “ปัจจัตตัง” นั้น สอนกันได้ เผยแพร่กันได้ บอกต่อกันได้ เรียนกันได้.........




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น