ในหนังสือนารีผลหน้าที่ 95 สุทัสสา อ่อนค้อมได้ปั้นเรื่องต่อมาว่า เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงก็คำนึงถึงพระวิญญาณ์ ลูกศิษย์ด้านวิปัสสนากรรมฐาน คนแรกคนเดียวของหลวงพ่อวัดปากน้ำ
หลังจากนั้น
เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง ก็นึกถึงคำพูดของหลวงพ่อวัดปากน้ำกับท่านว่า
“นี่ถ้าเราอยู่
เราจะสอนอย่างนี้ต่อไป แต่ถ้าเราจะหมดอายุ เราก็ขอแค่ตัวเราพ้นทุกข์”
บัดนี้
ท่านประจักษ์แล้วว่า พระอาจารย์ของท่านได้บรรลุความสำเร็จสมดังปณิธานที่ตั้งไว้
|
ข้อเขียนดังกล่าวก็เป็นการบอกใบ้แบบดังๆ
ว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น
เชื่อการปฏิบัติธรรมแบบยุบหนอพองหนอแบบหมดใจ
และจะไปพระนิพพานด้วยการปฏิบัติธรรมแบบยุบหนอพองหนอ
แต่ในการเผยแพร่ธรรมะ จะสอนวิชาธรรมกายต่อไป
|
ผมก็ไม่รู้ว่า
สุทัสสา อ่อนค้อมเอามันสมองส่วนไหนคิด ถึงเขียนออกมาได้อย่างนั้น ผมก็จบปริญญาเอกเหมือนกัน ยังงงๆ คิดมาได้อย่างไร
มันเป็นข้อเขียนที่บิดเบือน
ตอแหล ตลบตะแลงแบบรับไม่ได้จริงๆ
ข้อเขียนของสุทัสสา
อ่อนค้อมก็ยืนยันว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นพระอริยะบุคคล
ในขั้นสุดท้ายก็บรรลุพระอรหันต์
แล้วพระอรหันต์เขาจะทำแบบนี้หรือ
แล้วในความเป็นจริงนั้น หนังสือวิชาธรรมกายของหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น
ให้ความรู้ทั้งด้านปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
มากกว่าหนังสือของสาวกพระพม่าทั้งโลกที่ผลิตกันออกมา
ไม่ต้องพูดถึงหนังสือธรรมะแบบห่วยแตกของพระมหาโชดกเลยก็ได้
ทำไมผมกล้ายืนยันอย่างนั้น หลักฐานยืนยันก็คือ พระพม่าเข้าใจผิดเรื่องศาสนาพุทธมาก
ในด้านปริยัติธรรมนั้น
ไม่เคยศึกษาหัวข้อธรรมอื่นๆ เล่นอย่างเดียวคือ สติปัฏฐาน 4
แต่ไม่เคยเข้าใจสติปัฏฐาน
4 อย่างแท้จริง
เมื่อค้นพบวิธีการปฏิบัติธรรมแบบทำความรู้สึกตัวตลอดเวลา
พร้อมกับพิจารณาพระไตรลักษณ์แบบผิดๆ ไปด้วย ก็จับยัดเป็นสติปัฏฐาน 4
ผลงานเขียนจึงวนเวียนอยู่แค่นั้น ไม่ได้ก้าวหน้าไปไหน
ในหนังสือนารีผลหน้าที่
97-98 สุทัสสา อ่อนค้อมก็ตอกย้ำกรรมหนักของเขาเองด้วยการพูดคุยระหว่างเจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงกับพระมหาโชดก
ดังนี้
“แล้วในอนาคตต่อไปข้างหน้า
วัดปากน้ำจะสอนธรรมกายหรือสติปัฏฐาน”
“แนวธรรมกายสิ
เพราะอย่างน้อยก็เป็นอนุสรณ์แต่เจ้าคุณหลวงพ่อในฐานะที่ท่านเป็นผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายเป็นคนแรก
ข่าวว่าพระวิญญาณ์ท่านไปสร้างวัดใหม่อยู่ที่จังหวัดสระบุรี
ก็ดีนะ จะได้มีหลากหลายออกไป และฉันก็เห็นว่า
ในอนาคตคนที่สนใจธรรมกายก็จะไม่ลดจำนวนลง เพราะ คนเขาอยากร่ำอยากรวยมากกว่าอยากจะบรรลุพระนิพพาน
...
วิชาธรรมกายจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องปากเรื่องท้อง
ช่วยให้ญาติโยมร่ำรวย ”
|
สุทัสสา
อ่อนค้อมโกหกมาตลอดในหนังสือว่า
หลวงพ่อวัดปากน้ำหันไปปฏิบัติธรรมตามแบบยุบหนอพองหนอแล้ว
แต่ก็ขัดกับความเป็นจริงที่ว่า
หลวงพ่อวัดปากน้ำก็ยังเผยแพร่วิชาธรรมกายอยู่ และวิชาธรรมกายก็โด่งดังออกไปมากด้วย
อีตรงนี้แหละ
กูจะโกหกต่อไปอย่างไรดี สุทัสสา อ่อนค้อมคงคิดอย่างนั้น
เมื่อไม่รู้จะเอาอีท่าไหนดี
และก็คงเห็นว่า รูปของหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น ได้รับความนิยมมาก
มากกว่าพระมหาโชดกอย่างไม่ต้องเปรียบเทียบกัน
ถ้าผู้อ่านสังเกตให้ดี ร้านค้าต่างๆ ร้านทอง
รถโดยสารประจำทางจะมีรูปหลวงพ่อวัดปากน้ำติดอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะ
ทำให้การทำมาค้าขายดีขึ้น
ขออธิบายเพิ่มเติมนิดหนึ่ง
ผมได้เขียนไปแล้วในหลายๆ
บทความว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาพุทธนั้นคือ “จักรพรรดิ”
วัตถุมงคลทั้งหลายนั้น
ให้ปลุกเสกจนเกจิอาจารย์คอแตกตายไป 500 คน
ถ้าไม่มีจักรพรรดิเข้าไปอยู่ก็ไม่มีทางศักดิ์สิทธิ์ได้
รัตนะชาติ
คดต่างๆ นั้น ไม่เคยมีการปลุกเสกอะไรเลย
แต่ก็ศักดิ์สิทธิ์เพราะมีจักรพรรดิไปอยู่ในนั้น
รูปของหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น ถ้าใครมีไว้ และเคารพบูชากันจริงๆ
จักรพรรดิจะเข้าไปอยู่เพื่อดูแลและปกปักรักษา
ดังนั้น
รูปของหลวงพ่อจึงเป็นมงคลแก่สถานที่นั้นๆ
ทำให้ทำมาค้าขายดีขึ้น
ผมขอย้ำในฐานที่เป็นวิทยากรสอนวิชาธรรมกายว่า
วิชาธรรมกายคือ วิชาที่พระพุทธเจ้าทรงเผยแพร่เมื่อพระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ไม่ได้เน้นไปที่ความร่ำรวย
แต่คนที่ปฏิบัติตามแล้ว
จะทำให้อยู่ดีมีสุข ค้าขายรุ่งเรือง เจริญ ก็ทำให้เป็นคนรวยขึ้นมาได้
ก็คงได้คราวสรุปกันได้แล้วว่า
หนังสือของสุทัสสา อ่อนค้อมที่เขียนถึงหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น ไม่เป็นความจริง เป็นการเขียนขึ้นมาเพื่อยกย่องเชิดชูสายยุบหนองพองหนอเท่านั้น
การยกย่องสายของตัวเองนั้น
เป็นสิ่งที่น่ายินดีและควรทำ แต่ไม่ควรไปทำร้ายหรือโจมตีสายอื่น
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป้าโจมตีมุ่งไปที่หลวงพ่อวัดปากน้ำ
กรรมโคตรหนักอย่างมหาศาลจึงเป็นของสุทัสสา
อ่อนค้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และก็ไม่มีใครที่จะช่วยได้เลย เพราะ แต่ละคนก็จะไปอบายภูมิเหมือนกันหมด
สิ่งที่น่าเสียใจมากสำหรับสุทัสสา
อ่อนค้อมก็คือ กรรมของสุทัสสา อ่อนค้อมหนักกว่าคนอื่นๆ เขา
จึงต้องลงนรกชั้นที่ต่ำกว่าคนอื่น และอยู่กันยาวนานกว่าคนอื่น....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น