บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ท่านบุบกับฤกษ์สึก


ก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์สุทัสสา อ่อนค้อมกับหนังสือมักกะลีผลต่อไป ขอเขียนถึง “ฤกษ์สึก” กันก่อน

ในหนังสือมักกะลีผล เล่ม 2 หน้า 963 มีข้อความนี้

คนโบราณท่านสอนไว้ว่า ฤกษ์สึกนี่สำคัญมาก ถ้าสึกตอนฤกษ์ไม่ดี บางคนก็ตาย บางคนติดคุกติดตะราง หรือไม่ก็กลายเป็นคนบ้าบอคอแตกไปเลย

เรื่องนี้ หลวงพ่อวัดอัมพวันพูดถึงบ่อยมาก เมื่อครั้งผมบวชอยู่ที่นั่น

ต้องขออนุญาตกล่าวถึงการบวชในครั้งนี้สักหน่อยก่อน เพื่อเป็นการปูพื้นฐาน

ในอดีตชาติบางชาติ ผมเคยบวชเป็นพระ เคยไปเจอเพื่อนในอดีตชาติซึ่งเป็นพระร่วมกุฏิเดียวกัน ไปเจอเขาที่ไต้หวัน ดันเสือกเกิดเป็นผู้หญิง แล้วนับถือคริสต์อีก เลยไม่รู้จะช่วยอย่างไร

ก็ต้องรอให้เพื่อนตายเสียก่อน ถึงจะไปช่วยได้

ไม่รู้ว่า จากการที่ในอดีตเคยเป็นพระหรือเปล่า ชาตินี้ ผมจึงบวชพระถึง 4 ครั้ง  บวชเณรอีก 4-5 ครั้ง ประมาณนั้น

ตอนไปเรียนก็ชอบไปอยู่วัด ขนาดเรียนปริญญาโท ผมยังเป็นลูกศิษย์วัดอัมรินทร์ ข้างๆ โรงพยาบาลศิริราชเลย

ตอนเป็นลูกศิษย์วัดอัมรินทร์ ก็ไปเดินบิณฑบาตกับหลวงพ่อทุกวัน หลวงพ่อท่านก็บอกญาติโยมด้วยความภูมิใจว่า ลูกศิษย์ฉันนี่ เรียนปริญญาโทธรรมศาสตร์เชียวนะ

การบวชที่อัมพวันนั้น เป็นการบวชครั้งที่ 3 อายุประมาณ 25 ปี  การบวชครั้งแรกก็บวชให้แม่ เมื่ออายุครบบวช  บวชได้ 15 วันก็สึก ตอนนั้นเป็นครูแล้ว (ผมเป็นครูตั้งแต่ก่อนเกณฑ์ทหาร น่าจะอายุ 18-19 ปี)

ครั้งที่ 2 ก็บวชตอนปิดเทอมอีก ตอนนั้น เมื่อไหร่ปิดเทอมก็กลับบ้านชัยนาท ไปเยี่ยมเพื่อนฝูง ตีหัวหมา ด่าคนจีนไปเรื่อย เหมือนกับตอนที่เป็นวัยรุ่น  แต่เป็นครูแล้ว ก็เรียบร้อยขึ้นบ้าง

ขณะที่เดินโต๋แต๋ไป โต๋เต๋มา ตอนนั้น อาจารย์ทองสุข บุญธรรม เพื่อนซี้ตอนเรียนมัธยม กับเพื่อนที่เวลาไม่มีข้าวกินตอนเรียนวิทยาลัยครู ก็ไปหาอาจารย์ทองสุกนี่แหละ มาพบเข้าพอดี

แล้วชวนคำเดียวสั้นๆ แต่มีความหมายว่า “ไปบวชเป็นเพื่อนกูหน่อย

อาจารย์ทองสุก บุญธรรมเรียนจบ ป.กศ. สูง จากวิทยาลัยครูนครสวรรค์แล้วก็มาเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนเดิม คือ โรงเรียนวิชัยบำรุงราษฏร์ แต่เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนชัยนาทพิทยาคมแล้ว

ผมเอง เห็นมีเพื่อนชวนอย่างนั้น ก็ตอบสั้นๆ ว่า “เออ ไปก็ไป” ตอนนั้น ยังไม่รู้ว่ามันจะไปบวชที่ไหนเลย 

เหตุผลที่ตอบไปอย่างนั้น ก็ไม่มีอะไร  ผมเป็นคนที่ไม่ชอบขัดใจเพื่อน ขนาดเพื่อนชวนไปตีรันฟังแทงกับชาวบ้านเขา ผมยังไป นี่เพื่อนชวนไปทำความดี  ก็ควรจะไป

ตกลงแล้ว เพื่อนทองสุกชวนไปบวชในงานปริวาสกรรม ที่จังหวัดพิจิตร  การบวชครั้งนั้น เพื่อนทองสุกบวช 15 วันแล้วก็สึก  ผมบวชได้ถึง 1 เดือน

สำหรับการบวชที่วัดอัมพวันนั้น เป็นการบวชครั้งที่ 3 บวชยาวนานที่สุดคือ 1 พรรษา เหตุผลที่มาบวชก็เพราะ เป็นวัยเบญจเพส

ผมรู้เรื่องวัยเบญเพสมาตั้งแต่เด็ก เพราะ อ่านหนังสือพบบ่อย ผู้ใหญ่ในตลาดบรมธาตุก็พูดถึงบ่อยมากว่า เป็นวัยวุ่นวาย บางคนถึงตายเลยทีเดียว

ผมก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก็รอว่าตนเองจะถึงอายุ 25 เมื่อไหร่ เมื่ออายุถึงเขาจริงๆ ก็เข้าใจเลยว่า “วัยเบญจเพส” นั้นมันเป็นอย่างไร

ขนาดเป็นครูบ้านนอก ซึ่งชีวิตค่อนข้างจะเรียบง่ายที่สุดแล้ว ยังมีปัญหาเข้ามามากมาย  ผมเห็นว่า “หนีบวชดีกว่า

เมื่อใกล้ผมก็แต่งเครื่องแบบครู ขี่ยามาฮ่า Enduro ซึ่งเป็นมอเตอร์ไซค์วิบากที่เท่ห์ที่สุดและแพงที่สุดในสมัยนั้น ไปหาหลวงพ่อวัดอัมพวัน

ตอนนั้นผมเป็นครูที่โรงเรียนบ้านเขาดิน อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี

ไปพบหลวงพ่อแล้วขอหลวงพ่อบวช หลวงพ่อก็ตกลงในบวชก่อนวันเข้าพรรษา ประมาณ 2-3 วัน แล้วบอกว่า วันนั้นมีคนบวชแล้ว 4 คน ผมเป็นคนที่ 5

เพื่อนร่วมโบสถ์ในวันนั้น เป็นพลตรีทหารบก 1 คน ทำงานไฟฟ้าที่กรุงเทพฯ 1 คน เป็นอาจารย์สอนที่อาชีวศึกษาสิงห์บุรี 1 คน และเป็นอนามัยที่สิงห์บุรีอีก 1 คน

ที่ผมสนิทสนมมากที่สุด ก็อนามัยที่สิงห์บุรีนี่แหละ ท่านชื่อสุเมธ รอดอินทร์ เพราะ หลังจากสึกมาแล้ว ก็ยังไปมาหาสู่กันอีกหลายปี 

สุเมธเป็นคนที่ฉีดยานิ่มที่สุด  ขนาดฉีดกาน่าให้ผม ยังไม่ปวดเลย ถ้าสงสัยว่า ยากาน่าเอาไว้รักษาโรคอะไร ก็ไปถามไถ่กันเอาเอง

เราทั้ง 5 คน คิดว่าจะบวชเป็นชุดสุดท้ายแล้ว แต่หลังจากนั้นก็มีเสี่ยโรงสีข้าวจากโคกสำโรงมาบวชอีกคน ท่านชื่อ “กิตติ” ก็สนิมสนมกับผมเป็นอย่างดี เพราะ กุฏิอยู่ใกล้กัน และผมเป็นครูสอนที่โคกสำโรงด้วย

ผมนึกว่า กิตติน่าจะบวชเป็นคนสุดท้ายแล้ว แต่ปรากฏว่า ในวันเข้าพรรษานั้นเอง ท่านบุบก็มาบวชเพิ่มอีก 1 รูป  ท่านบุบมาอยู่กุฏิใกล้ๆ กับพวกผม จึงสนิมสนมกันดี อีกเหมือนกัน

ชื่อจริงท่านบุบท่านผมจำไม่ได้แล้ว  แต่ที่เรียกท่านบุบก็เพราะว่า กะโหลกศีรษะท่านหายไปส่วนหนึ่ง เป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณนิ้วครึ่ง

ถ้าสังเกตดูดีๆ ก็เห็นว่า มันสมองมันเต้นตุ้บๆ ได้นั่นแหละ

ถามไถ่ท่านว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น  ท่านบุบก็บอกว่า “โดนขวาน” ผมก็เข้าใจเป็นอย่างดี เพราะ อยู่ในวงการตีรันฟันแทงมาเหมือนกัน 

ผมเองนั้น สักสิงห์ที่ไหล่ทั้ง 2 ข้าง เวลาห่มจีวรก็ต้องเห็นสิงห์ที่ไหล่ ถ้าสวมแต่อังสะ ก็เห็นสิงห์ทั้ง 2 ตัวอย่างชัดเจน  ก็แสดงถึงความเกเรหนักหนาสาหัสเหมือนกัน 

ผมกับท่านบุบจึงเข้ากันได้เป็นอย่างดี อย่างเช่นผีกับป่าช้าเลยทีเดียว

ผมถามท่านบุบว่า ทำไมมาบวชวันนี้ ปรกติหลวงพ่อวัดอัมพวันไม่น่าจะบวชให้  ท่านบุบบอกว่า โยมแม่ไปดูหมอดูมา ถ้าไม่บวชต้องตาย  เมื่อโยมแม่มาขอหลวงพ่อ หลวงพ่อจึงบวชให้

ในระหว่างบวชนั้น ท่านบุบติดตามผมไปตลอด เป็นมือขวาของผมก็ว่าได้ เมื่อมีเรื่องมีราวอะไร ผมก็ต้องคอยจัดการให้

เมื่อใกล้วันสึก เพราะจะออกพรรษาแล้ว พวกที่เป็นข้าราชการก็ต้องคุยกันว่า จะสึกวันไหน ไปไหนอย่างไร  ท่านบุบรู้สึกเดือนร้อนไปกับเขาด้วย เพราะ อยากสึกกับเขาบ้าง

พวกผมห้ามกันทุกรูป  ก็ท่านไม่บวช ท่านต้องตาย  ท่านมาบวชแล้ว จะสึกทำไม เดี๋ยวก็ไปตายหรอก  ท่านบุบก็รับรู้ แล้วก็เงียบๆ ไป ไม่เซ้าซี้เรื่องนี้อีก

ถึงวันสึกจริงๆ วันนั้นมีพระที่จะสึกประมาณ 25 รูป ส่วนใหญ่เป็นพวกข้าราชการกับชาวบ้านบางส่วน

เมื่อเราไปร่วมทำพิธี  ท่านบุบของผม เสือกเข้ามาต่อท้ายแถวโดยไม่บอกใคร  ผมหันไปเห็นแล้ว ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร  หลวงพ่อวัดอัมพวันก็น่าจะรู้ แต่ไม่พูดอะไร

เมื่อสึกแล้ว ต่างคนก็ต่างไป ผมก็ยังวนเวียนอยู่แถวสิงห์บุรี  วันหนึ่งสุเมธบอกว่า เราไปเรียกพวกที่บวชมาด้วยกัน มาสังสรรค์กันดีกว่า คิดถึง

ท่านบุบให้ที่อยู่ผมไว้ ความจริงผมสอนที่โคกสำโรงก็จริง แต่ผมพักกับเพื่อนที่ชลประทาน สะพาน 7 ในตัวอำเภอเมือง ใกล้ๆ กับวงเวียนพระนารายณ์ ใกล้ๆ กับบ้านท่านบุบนั่นแหละ  แต่ผมไม่เคยแวะไปหาสักที

ผมจึงเขียนโปสการ์ดไปหา นัดแนะวันเวลาให้มาผมกัน

ปรากฏว่า ท่านบุบไม่ได้ตอบโปสการ์ดผม แต่แม่ของท่านบุบตอบมาแทน แม่ท่านบุบมีอาชีพเป็นครูเช่นเดียวกับผม

แม่ท่านบุบบอกว่า วันที่สึกนั้น ท่านบุบกลับมาที่บ้าน และพาเพื่อนมาเลี้ยงเหล้าบนบ้าน ไม่รู้ว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร  ท่านบุบถูกเพื่อนรุมแทงประมาณ 50 แผล

บ้านท่านบุบกับบ้านแม่ท่านบุบอยู่ติดกัน แต่เป็นคนละหลังกัน

หลังจากนั้น ผมจึงหาโอกาสไปเยี่ยมแม่ท่านบุบ  ท่านยังพาไปดูสถานที่เกิดเหตุ ท่านทำใจได้แล้ว เพราะ รู้ว่าท่านบุบชะตาขาด จึงพาไปบวช  ไม่นึกว่าจะหนีสึกออกมาตายอย่างนี้

ที่เล่าเรื่องนี้ ก็เป็นเพราะว่า หลวงพ่อวัดอัมพวันเน้นนักเน้นหนาว่า ฤกษ์บวชไม่ต้องดู อยากบวชวันไหนบวชเลย  แต่ฤกษ์สึกต้องดู  ถ้าสึกฤกษ์ไม่ดี ถึงตายได้

กรณีของท่านบุบนี่ เป็นตัวอย่างที่ดี............



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น