หลังจากที่หนังสือมักกะลีผลให้ความรู้ที่ผิดๆ
ไปว่า วิชาธรรมกายดับทุกข์ไม่ได้ อย่างที่ผมเขียนลงไปในบทความ “วิชาธรรมกายดับทุกข์ไม่ได้”
สุทัสสา อ่อนค้อม
ก็ยังนำเสนอข้อมูลที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนอีก อย่างไม่กลัวนรกที่จะต้องลงไป ดังนี้
“แล้วหลวงพ่อยังสอนธรรมกายอยู่ หรือว่าสอนวิปัสสนากรรมฐานครับ
ผมหมายถึงสอนลูกศิษย์น่ะครับ”
“ยังสอนธรรมกายอยู่ เรายังไม่บังอาจสอนวิปัสสนากรรมฐาน
เพราะ ตัวเราเองก็ยังเรียนไม่จบหลักสูตร ยังต้องศึกษาอีกมาก กว่าจะเรียนจบ”
ภิกษุสูงวัยบอกเหตุผล
“แต่ถ้าหลวงพ่อเรียนจบหลักสูตรแล้ว หลวงพ่อจะสอนอะไรครับ
ระหว่างวิชาธรรมกายกับวิชาวิปัสสนากรรมฐาน”
พระอุดมวิชชาญาณถาม
พระเจริญแอบชื่นชมเจ้าคุณอาจารย์ที่พูดกับผู้อาวุโสกว่าด้วยอาการนอบน้อม
มิได้ถือตัวว่า เป็นครูบาอาจารย์แต่ประการใด
“ผมก็ยังไม่ทราบหรอกครับท่านเจ้าคุณ อนาคตหาความแน่นอนไม่ได้
ผมอาจจะตายเสียก่อนเพราอายุอานามก็มากแล้ว
แต่ถ้าจะดูตามความสมัครใจของผู้เรียน ผมเชื่อว่า คนสมัยนี้
ส่วนใหญ่เขาอยากรวยอยากมั่งมีศรีสุข คงจะเลือกเรียนวิชาธรรมกายกันมากกว่า
แต่ถ้าผมพบคนมีปัญญา มองการณ์ไกลว่า
จุดหมายของชีวิตมิได้อยู่ที่ความมั่งมีศรีสุข
ผมก็จะสอนวิชาวิปัสสนากรรมฐานให้เขาครับ”
หลวงพ่อสดตอบคำถามโดยยึดความสมัครใจของผู้เรียนเป็นสำคัญ (หนังสือมักกะลีผล
เล่ม 2 หน้า 1132-1133)
|
ข้อมูลที่หนังสือมักกะลีผลเขียนมาข้างต้นนั้น
ก็บิดเบือนเหมือนเดิม แสดงความชั่วร้ายของคนเขียนเช่นเดิม ไม่มีความถูกต้องแม้แต่นิดเดียว
ผมถึงว่า
ทำไมธาตุธรรมลงโทษสุทัสสา อ่อนค้อมหนักมาก
อ่านมาถึงตอนนี้ ผมอยากจะเสนอให้ธาตุธรรมลงโทษให้หนักอีกซักเท่าสองเท่า
ข้อความในส่วนนี้
เราต้องมาตีความกับคำศัพท์กันเสียก่อน เพราะ
เรื่องมันสลับซับซ้อนมากพอสมควร
พวกสมองหมา ปัญญาควายที่ไปนับถือพระมหาโชดกถึงมองกันไม่ออก
คำว่า
“วิปัสสนากรรมฐาน” ที่สุทัสสา อ่อนค้อมใช้นั้น มันไม่ใช่ “วิปัสสนากรรมฐาน”
ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
คำว่า
“วิปัสสนากรรมฐาน” ที่สุทัสสา อ่อนค้อมใช้นั้น มันหมายถึงคำสอนของ “สายยุบหนอพองหนอ” ขอให้เข้าใจตรงนี้ก่อน
“วิปัสสนากรรมฐาน” จริงๆ นั้น ซึ่งมี 6 ประเภทใหญ่ๆ
คือ ขันธ์ 5 อายตนะ 12 ธาตุ 18 อินทรีย์ 22 อริยสัจ 4 ปฏิจจสมุปบาท 12 หลวงพ่อวัดปากน้ำเขียนหลักสูตรไว้ชัดเจนแล้ว
ขอให้ไปอ่านได้ที่นี่
ขันธ์
๕
อายตนะภายใน
๖
อายตนะภายนอก
๖
ธาตุ
๑๘
อินทรีย์
๒๒
อริยสัจจ์
๔
วิธีพิจารณาปฏิจจสมุปบาทธรรม
จากหลักฐานที่ยืนยันไปข้างบนนั้น แสดงให้เห็นชัดเจนว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำสอนวิปัสสนากรรมฐานอย่างแน่นอน และสอนมากกว่านั้น
สอนมานานแล้ว
สอนอย่างมีหลักสูตร มีตำราให้เรียนอย่างชัดเจน
มหาโชดกเองนั่นแหละที่มั่ว ไม่เคยกล่าวถึง ขันธ์ 5 อายตนะ 12 ธาตุ 18 อินทรีย์
22 อริยสัจ 4 ปฏิจจสมุปบาท 12 ว่าทำอย่างไร
ผมย้ำมาแล้วหลายครั้งว่า
สายยุบหนอพองหนอสอนแค่เดินจงกรมไปมา พิจารณาอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อย และพิจารณาพระไตรลักษณ์ไปด้วยเท่านั้น
ไม่มีคำสอนอื่นในทางปฏิบัติมากกว่านี้
ขอยกตัวอย่างคำถามง่ายๆ
เช่น อินทรีย์ 22
สายยุบหนอพองหนอทำอย่างไร?
ไม่เคยมีคำสอนของสายยุบหนอพองหนอที่ตอบปัญหาดังกล่าว สงสัยว่าคำตอบคงจะออกมาแบบนี้คือ
เดินไปเดินมา แล้วพิจารณาอินทรีย์ 22 ไปด้วย หรือตีลังกาไป
พิจารณาอินทรีย์ 22 ไปด้วย
ขอย้ำอีกครั้งว่า
ไม่มีความชัดเจนว่า
ในการเรียนวิปัสสนากรรมฐานจริงๆ คือ ขันธ์ 5 อายตนะ 12 ธาตุ 18 อินทรีย์ 22 อริยสัจ
4 ปฏิจจสมุปบาท 12 มหาโชดกสอนให้ทำอย่างไร
มหาโชดกกับสาวกก็คุยโตโม้โอ้อวดโกหกประชาชนไปวันๆ
เท่านั้น...
กลับมาเรื่องที่ว่า
หลวงพ่อวัดปากน้ำจะสอนยุบหนอพองหนอหรือไม่ ผมขอยืนยันว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องโกหกชัดเจน
โกหกกันแบบหน้าด้านๆ
หลักฐานของผมก็มีดังนี้
การสอนวิชาธรรมกายนั้น
หลวงพ่อเขียนหนังสือไว้ 4 เล่ม ผมยกตัวอย่างอีกครั้งก็ได้ เพื่อใครอยากจะไปอ่าน
วิชชามรรคผลพิสดาร
๒ http://Makphonphitsadan2.blogspot.com
นอกจากหนังสือดังกล่าวแล้ว
หลวงพ่อวัดปากน้ำยังเทศน์ไว้อีก อย่างน้อยก็ประมาณ 70
กัณฑ์ที่มีการอัดเทปและเผยแพร่
ถามจริงๆ
ว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำเคยกล่าวถึงการปฏิบัติธรรมแบบยุบหนอพองหนอไว้ในคำสอน
หรือหนังสือของท่านหรือไม่
ประวัติของหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น
ท่านเคร่งครัดวินัยมาก ท่านไม่พูดโกหกแน่ๆ ถ้าท่านเห็นว่า ยุบหนอพองหนอดีกว่า
ท่านเลิกสอนวิชาธรรมกายไปนานแล้ว
ไม่ต้องมีใครมาป่าวประกาศแทนท่านด้วย
ข้อความที่บิดเบือนมากที่สุดก็คือ
ข้อความนี้
ผมเชื่อว่า คนสมัยนี้ ส่วนใหญ่เขาอยากรวยอยากมั่งมีศรีสุข
คงจะเลือกเรียนวิชาธรรมกายกันมากกว่า
แต่ถ้าผมพบคนมีปัญญา มองการณ์ไกลว่า
จุดหมายของชีวิตมิได้อยู่ที่ความมั่งมีศรีสุข
ผมก็จะสอนวิชาวิปัสสนากรรมฐานให้เขาครับ”
|
ผมขอเอาตัวเองเป็นตัวอย่าง
ผมบวชพระมาแล้ว 4 ครั้ง เณรก็ประมาณนั้น บวชที่วัดอัมพวัน 1 พรรษา ผมไม่เคยบวชวัดปากน้ำ
ไม่เคยบวชวัดที่เป็นสาขาของวัดปากน้ำ
ผมอ่านหนังสือและปฏิบัติธรรมทั้ง
2 แบบมาเป็น 10 ปี
ผมยังเลือกเรียนวิชาธรรมกาย เลือกเป็นวิทยากรสอนวิชาธรรมกาย
ในทางปริยัตินั้น
วิชายุบหนอพองหนอ “มั่ว”
หาที่เปรียบไม่ได้
ไม่สอดคล้องกับพระไตรปิฎก
ไม่สอดคล้องกับวิสุทธิมรรค ผมถึงพูดบ่อยๆ
ว่า สาวกพระพม่าเป็นพวกสมองหมาปัญญาควายกันทุกคน
ในทางปฏิบัติ การเดินจงกรมไปมา พิจารณาอิริยาบถใหญ่
อิริยาบถย่อย และพิจารณาพระไตรลักษณ์ไปด้วยเท่านั้น
แทบจะไม่เป็นการปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ
ถ้าถามว่า
อยู่ในขอบข่ายของสติปัฏฐาน 4 ไหม ผมก็ยืนยันว่า “อยู่” แต่การเดินไปมา
และพิจารณาพระไตรลักษณ์แบบยุบหนอพองหนอนั้น
มันใช้ “การคิด” แบบนักปรัชญาเขาทำกัน
ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมแบบศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธต้อง
“เห็น” และ “รู้” ระหว่างที่ทำสมาธิ มีคำบาลีที่สำคัญมากอยู่คำหนึ่ง พวกสมองหมา
ปัญญาควายที่จบเปรียญทั้งหลายไม่ค่อยกล้าแปลเป็นภาษาไทย
คำนั้นก็คือ “ยถาภูตญาณทัสสนะ”
ยถาภูต
|
ตามความเป็นจริง
|
ญาณ
|
ความรู้
|
ทสฺสน
|
การเห็น
|
“ยถาภูตญาณทัสสนะ” การควรจะแปลว่า “การรู้การเห็นตามความเป็นจริง”
หรือ “การเห็นการรู้ตามความเป็นจริง” คำว่า
“วิปัสสนา” แปลว่า “เห็นแจ้ง”
การสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำในวิชาธรรมกายก็เป็นการสอนให้
“รู้แจ้ง เห็นจริง” ก็สอดคล้องและถูกต้องตามพระไตรปิฎกทุกประการ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น