นอกจากข้อเขียนของคุณธารณธรรมแล้ว
ยังมีผู้อ่านเข้ามาร่วมให้ความคิดเห็นด้วย
ก็เลยเอามาอ่านกันเลย
การที่ท่านป่าม่วงพูดหรือเขียนบิดเบือนบอกว่า
หลวงพ่อสดบอกว่าวิชชาธรรมกายแก้ทุกข์ประจำไม่ได้ แต่แก้ทุกข์จรได้
และยังให้ร้ายวิชชาธรรมกายอีกด้วยว่า
เป็นวิชชามุ่งให้ความร่ำรวยเป็นที่ตั้ง ไม่ได้มุ่งไปนิพพาน
และกล่าวหาศิษย์วัดปากน้ำว่า
จะเผาตำราที่เรียนกรรมฐานแบบวัดมหาธาตุทิ้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าละอายอย่างยิ่ง
เป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงว่า
ท่านป่าม่วงที่มีบางคนเข้าใจว่าเป็นอรหันต์กล้ากระการนี้ตามลำพัง
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้พยายามทำให้ความจริงปรากฏขึ้นมา
เหมือนพลิกภาชนะที่คว่ำให้หายขึ้น จนมองเห็นกระจ่างว่า มีอะไรในภาชนะนั้นบ้าง
สามารถพิสูจน์ได้ทุกขั้นตอน มีเอกสารอ้างอิงไม่ใช่นั่งเทียนเขียน
เป็นพระโยชน์ต่อพระศาสนา
เป็นประโยชน์แก่ชาวพุทธที่ต้องการทราบความจริง ช่วยให้ชาวพุทธไม่ต้องทำบาป
โดยไม่ต้องนำความเท็จไปบอกต่อๆ กันไป
ส่วนที่มีโทษนั้นมี
คือผู้บิดเบือนและคณะคงไม่ชอบใจเป็นแน่
แต่ถ้าเทียบกับส่วนที่ได้ประโยชน์นั้นเทียบกันไม่ติด ถือว่าน้อยมาก
เป็นการป้องปรามไม่ให้ใครคิดเอาเป็นเยี่ยงอย่าง เขียนบิดเบือนให้ร้ายผู้อื่นในทำนองนี้อีก
เนื่องจากความลับไม่มีในโลก
ดังนั้นจะต้องมีคนมาพิสูจน์ทราบความจริงได้ในที่สุด แม้ว่าจะต้องใช้เวลาเป็นสิบๆ
ปีในการแสวงหาข้อมูลก็ตาม
เชื่อว่าเรื่องนี้ต่อไปคงได้ใช้เป็นกรณีศึกษาวิจัย
แล้วผลการวิจัยนั้นจะได้รับการบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ศาสนาแห่งสารขัณพ์ประเทศในศตวรรษที่สองพันหกเป็นแน่
ข้อสังเกตที่สำคัญมากที่สุดอันหนึ่งคือ
บุคคลหรือพระเถระสำคัญที่ท่านป่าม่วงเอ่ยถึง หรือนิยายตุ๊กตาผลอ้างถึง
จะเป็นบุคคลหรือพระเถระที่เสียชีวิตไปแล้วทั้งนั้น
ไม่มีโอกาสจะมาชี้แจงข้อเท็จจริง
เป็นการปิดโอกาสไม่ให้ใครที่สงสัยไปสักถามข้อเท็จจริงได้
ขอชี้แจงเรื่องใน
http://www.jarun.org/v5/th/lrule06h0501.html
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณที่คุณมะตาดที่กรุณาส่งให้อ่าน
การที่เขียนชมวิธีการของหลวงพ่อวัดปากน้ำอันนี้เป็นเทคนิคลวงผู้คนให้ตายใจ
ว่าตนเป็นคนกตัญญู แต่ขอยืนยันว่าวิชาหลวงพ่อที่เอาไปใช้นั้นดีจริงๆ
ในเว็บนี้
ยังบอกว่าไปเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อ ๒ ครั้ง แต่สายไปแล้ว
คงเป็นการเขียนแก้เกมหลังจากมีคนเขียนไปต่อว่าถึงสำนักป่าม่วง
เพราะว่าถ้าเป็นคนทำอะไรตรงไปตรงมาก็ต้องเรียนสมเด็จฯ
วัดปากน้ำแล้วว่า มาเรียน ๒ ครั้ง แต่กลับเรียนสมเด็จว่า มาเรียนปี ๒๔๙๖
ทำไมไม่กล้าบอกสมเด็จฯ ว่ามาเรียนปี ๒๔๙๓ มาเขียนที่หลังจะได้ประโยชน์อะไร
จากข้อความในเว็บดังกล่าวที่ว่า“ขอบูชาพระสักกำเถอะ
จะนำไปแจกญาติ”
ท่านบอก
“ไม่ได้ ต้องเอาไปองค์เดียว” อาตมาก็ไม่ทราบว่านโยบายท่านทำไมให้องค์เดียว
อาตมาก็ไปเซ้าซี้ถามท่าน ท่านก็ตอบออกมาคำหนึ่ง........
“หลวงพ่อครับ
ญาติผมเยอะนะ” ก็ยังไปเซ้าซี้กับท่านอีก วันสุดท้ายท่านบอก
“ตามใจ”
อาตมาก็บอกว่า “ตามใจ อย่าให้เป็นบาปนะหลวงพ่อนะ” หยิบใส่ย่ามมา
จะเป็นบาปหรือไม่ก็ไม่ทราบ ได้มาตั้งแต่พ.ศ.๒๔๙๖
เดี๋ยวนี้ไม่มีเหลือติดย่ามสักองค์เดียว”
ท่านป่าม่วงเป็นบุคคลพิเศษอะไร? หลวงพ่อจึงอนุญาตให้ยิบพระใส่ย่าม
และที่ตุ๊กตาผลอ้างว่าได้เป็นศิษย์ก้นกุฏิเพราะเป็นหลานหลวงธารา
โดยอ้างว่า
หลวงธาราเคยไปทอดกฐินที่วัดปากน้ำ ขออภัยต้องขอบอกไม่เคยได้ยินชื่อหลวงธาราเลย
เป็นเรื่องที่พูดเอาเอง ศิษย์หลวงพ่อทุกคนทราบดีว่าหลวงพ่อเล็กเป็นศิษย์ก้นกุฏิ
เป็นไปไม่ได้ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำจะอนุญาตให้หยิบพระใส่ย่าม
เพราะอะไร เพราะว่าแม้แต่สมเด็จสังฆราชปุ่น วัดโพธิ์ฯ หลานหลวงพ่อ
รับใช้หลวงพ่อตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก
เป็นสามเณรจนเป็นพระภิกษุ ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชตามคำพยากรณ์ของหลวงพ่อ
หลวงพ่อยังให้พระของขวัญเพียงองค์เดียว
เพราะหลวงพ่อสร้างพระของขวัญขึ้นมาเพื่อแจกเป็นของขวัญแก่คนที่มาทำบุญเพื่อสร้างอาคารโรงเรียนปริยัติธรรมวัดปากน้ำตั้งแต่
๒๕ บาทขึ้นไป
ไม่ว่าจะทำบุญเป็นพัน
หรือเป็นหมื่นก็ให้องค์เดียว คือคนเดียวองค์เดียว ถ้าท่านมอบให้ใครเปล่า ๆ
หลวงพ่อจะต้องเอาเงินส่วนตัวท่านออกแทน
เพราะหลวงพ่อบอกว่าพระของขวัญท่านทำให้วัดไม่ใช่ของท่าน {สมเด็จพระสังฆราชปุ่น
ครั้งมีสมณะศักดิ์ที่สมเด็จพระวันรัต, ๒๕๒๙, ประวัติพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อวัดปากน้ำ) และอนุภาพธรรมกาย ใน
พระมงคลเทพมุนี ประวัติหลวงพ่อ และคู่มือสมภาร. ๒๕๒๙ วัดปากน้ำ, ภาษีเจริญ, และสมาคมศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำ,
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ ไทยวัฒนาพานิช จำกัด, หน้า
๙๖}
หลวงพ่อวัดปากน้ำ
ท่านเป็นคนจริง พูดจริงทำจริง มีวาทะตรงกับใจ ไม่ชอบคนโกหก มีเมตตาธรรมสูง
มีความกตัญญูกตเวทิตาธรรมสูง มีความกล้าหาญ กล้าพูดกล้าสอน ไม่ครั่นคร้ามต่อใคร
เมื่อเห็นดีอย่างไร
ก็ปฏิบัติไปตามนั้น หลวงพ่อบอกว่าใครโกหกท่านเป็นคนหมดดี พระไม่ใช่ของท่าน
มีหรือหลวงพ่อจะอนุญาตให้ท่านป่าม่วงยิบพระของขวัญใส่ย่าม
โดยเฉพาะผู้มีบารมีอย่างหลวงพ่อ
มีหรือจะไม่ทราบว่า ต่อไปในอนาคตท่านป่าม่วงจะให้ร้ายวิชชาธรรมกาย
ดังที่กระทำอยู่ในปัจจุบัน
และขอบคุณคุณมะตาดอีกครั้งหนึ่งที่ส่ง
http://www.jarun.org/v5/th/lrule08h0102.html
มาให้ ข้อความในเว็บที่ว่า
“อาตมาได้ฟังเทศน์ลำดับญาณ
โดยอาจารย์พม่ามาเทศน์และมีทูตมาแปลเป็นภาษาไทย ฟังพร้อมกับหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ
เดิมทีอาตมาไม่ทราบว่าท่านมานั่งกรรมฐานที่วัดมหาธาตุฯ
พอดีท่านเจ้าคุณอาจารย์ไปสอบอารมณ์ อาตมาก็ตามไปฟัง
หลวงพ่อสดบอกอาตมาว่า
เราเป็นขี้ข้าเขามาหลายสิบปี มีแต่นิมิตเครื่องหมายมากมาย และติดนิมิต พอกำหนด
เห็นหนอ ๆ นิมิตธรรมกายหายไป ปัญญาเกิด และเข้าผลสมาบัติได้ถึง ๘๔ ชั่วโมง
หลังจากนั้น
ก็เข้านิโรธสมาบัติได้ด้วย อันนี้ขอเปิดเผยเพราะท่านมรณภาพไปแล้ว
และท่านยังบอกอาตมาอีกว่า ถ้าเราอยู่เราจะสอนอย่างนี้ต่อไป แต่ถ้าเราจะหมดอายุเราก็ขอแค่ตัวเราพ้นทุกข์”
เป็นเรื่องที่น่าละอายอย่างยิ่งที่ศิษย์คิดล้างครู
เป็นเรื่องที่ท่านป่าม่วงจินตนาการเอาเอง เพราะหลวงพ่อถูกเกณฑ์ให้เรียน
ไม่ใช่มาเรียนเอง
ท่านถูกเกณฑ์มาเรียน
หลังท่านป่าม่วงเรียนจบไปแล้วประมาณ ๔ เดือน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ฟังเทศลำดับญาณพร้อมหลวงพ่อวัดปากน้ำ
เป็นที่น่าสังเวชยิ่งที่เขียนว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำบอกตนว่า
“เราเป็นขี้ข้าเขามาหลายสิบปี มีแต่นิมิตเครื่องหมายมากมาย และติดนิมิต พอกำหนด
เห็นหนอ ๆ นิมิตธรรมกายหายไป ปัญญาเกิด และเข้าผลสมาบัติได้ถึง ๘๔ ชั่วโมง
หลังจากนั้นก็เข้านิโรธสมาบัติได้ด้วย
อันนี้ขอเปิดเผยเพราะท่านมรณภาพไปแล้ว และท่านยังบอกอาตมาอีกว่า
ถ้าเราอยู่เราจะสอนอย่างนี้ต่อไป แต่ถ้าเราจะหมดอายุเราก็ขอแค่ตัวเราพ้นทุกข์”
เป็นที่น่าสังเกตว่าท่านป่าม่วง
ไม่กล้าเขียนว่า ตนเรียนกับเจ้าคุณโชดกวันไหนเดือนไหน สำเร็จวันไหนเดือนไหน
เพียงแต่บอกเรียนปี ๒๔๙๗
เป็นข้อความที่ท่านป่าม่วงปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาเอง
เป็นที่น่าเวทนาแบบสุด ๆ เป็นคำโกหกแบบที่จับได้ง่ายมากว่าเป็นคำมุสา
ดังข้อความว่า
“เราจะหมดอายุเราก็ขอแค่ตัวเราพ้นทุกข์” เพราะเป็นไปไม่ได้ที่คนบรรลุญาณ ๑๖ แล้ว
กลับเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ
จากผู้มากไปด้วยความเมตา
กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว คิดจะเอาตัวรอดคนเดียว
ไม่คิดช่วยเหลือศิษย์ที่มีจำนวนเป็นแสนเป็นล้านให้บรรลุคุณวิเศษเหมือนตน
ไม่สมกับผู้บรรลุญาณ ๑๖ เลย แปลกจริงหนอ ๆ ๆ ๆ
สวรรค์มีตา
จึงทำให้สามารถมองเห็นเจตนาของผู้ปั้นน้ำเป็นตัวได้ชัดเจน
ต้องพูดว่าสวรรค์มีตาจริง ๆ ๆ ๆ !
ที่ท่านป่าม่วงบอกว่า
“อันนี้ขอเปิดเผยเพราะท่านมรณภาพไปแล้ว” นี้เป็นเหลี่ยมคูของผู้คนที่ไม่สุจริต
เพราะถ้ามุสาแบบนี้
สมัยหลวงพ่อวัดปากน้ำมีชีวิตอยู่คงทำไม่ได้ เพราะคนคงไปถามหลวงพ่อ
|